จากกรณีมีผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ซื้อบ้าน แต่ต้องเจอปัญหาเสียงละหมาดจากมัสยิด ทำให้ไม่ได้หลับได้นอน ต่อมาลูกบ้านส่งเรื่องร้องเรียนไปที่เพจ สายไหมต้องรอด และเพจ กล้าที่จะก้าว โดยมีน.ส.อินทร์ชญาร์ สีสังข์ นายสมศักดิ์ ชมชาติ ทีมงานเพจสายไหมต้องรอด และนายอธิวัฒน์ สิริกังวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจกล้าที่จะก้าว ลงพื้นที่ตรวจสอบ
สำหรับความคืบหน้า วันที่ 1 พ.ค.67 ที่อาคารนิติบุคคลหมู่บ้านดังกล่าว ลูกบ้านประมาณ 10 คน เป็นตัวแทนลูกบ้านหมู่บ้านดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า หมู่บ้านตั้งอยู่ติด ถ.บางกรวย-ไทรน้อย อ.บางบัวทอง มีจำนวนบ้านทั้งหมด 308 หลัง เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้นทั้งหมด ห่างจากมัสยิดประมาณ 500 เมตร ซึ่งลูกนำหลักฐานเป็นคลิปเสียงจากมัสยิด ซึ่งในแต่ละวันจะมีเสียงเชิญชวนไปละหมาดวันละ 5 รอบ เป็นวิถีชุมชนอิสลามประจำมัสยิดใน ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี
เจ้าหน้าที่นิติบุคคลหมู่บ้าน กล่าวว่า มัสยิดจะเปิดลำโพงครั้งละประมาณ 3-4 นาที จากนั้นจะใช้ลำโพงตัวในทำพิธี ซึ่งจะไม่ได้ยินเสียง โดยได้ยินคือเรียกวันละ 5 ครั้ง เท่าที่ทราบมาเจ้าหน้าที่มีการแจ้งลูกบ้านเวลาที่ขายว่าแถวนี้มีการใช้เสียงของสุเหร่า แต่ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่คนไหนไม่สามารถให้ข้อมูลได้
ตัวแทนเพจสายไหม กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีการใช้เสียงจากมัสยิดที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้าน จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ เพราะเวลาพักผ่อนมีเสียงดังมาก จากหลักฐานชัดมาก จึงลงดูพื้นที่ว่าจะแก้ตรงไหนได้ เพื่อจะได้อยู่กันได้อย่างตลอดไป และไม่มีปัญหาภายหลัง
เจ้าหน้าที่นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร กล่าวต่อว่า ได้ไปคุยกันกับตัวแทนสุเหร่าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ทางสุเหร่าจะเปิดลำโพงวันละ 5 เวลา คือช่วงเวลาตี 4 สายๆ เที่ยง เย็น และช่วงหัวค่ำ โดยบอกว่าขอเวลาดำเนินงาน 1 เดือนว่าผลที่ทำเป็นอย่างไร ถ้าลูกบ้านไม่พึงพอใจ จะให้ติดต่อไป เพื่อจะเข้ามาตรวจวัดระดับเสียงอีกครั้ง เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งหน่วยงานราชการบอกว่าทำได้แต่ขอเวลาประมาณ 6 เดือน
เจ้าหน้าที่นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร กล่าวว่า ตอนนี้สุเหร่าปรับระดับเครื่องเสียงเหลือระดับ 2 จาก 5 ระดับ ก็จะรอดูอีกครั้งว่าจะยังไง เดิมที่บอกปรับเสียงไม่ได้ เพราะเป็นเครื่องเสียงที่เขาล็อกระดับเสียงไว้ เวลาจะปรับระดับเสียงต้องให้คนนั้นมาเซ็ตระบบให้ แต่ถ้าลูกบ้านยังติดใจสงสัย อนุญาตให้ลูกบ้านเข้าไปดูได้ และขอให้มั่นใจได้จะไม่มีการปรับเสียงเพิ่มขึ้น
เจ้าของบ้านหลังหนึ่ง กล่าวว่า ตอนที่มาซื้อบ้านหลังนี้ เจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งว่ามีสุเหร่า แต่ตนได้สำรวจพื้นที่ว่าตรงนี้มีวัดหรือมีสุเหร่าหรือไม่ ซึ่งตอนแรกได้ยินเสียงก็พอรับได้ ไม่ได้ดังเหมือนตอนนี้ ที่ดังมากเลยวันละ 5 เวลา ตั้งแต่ 04.30 น.จนถึง 19.00 น. 20.00 น. ซึ่งเสียงรบกวนต่อสุขภาพและการทำงานของตน
เจ้าของบ้าน กล่าวอีกว่า ตนเข้าใจว่าการละหมาด 5 เวลาเป็นไปตามหลักของศาสนา ตนไม่ได้ห้ามว่าละหมาดไม่ได้ เคารพในศาสนาอยู่แล้ว ทุกศาสนาก็มีประเพณีต่างกันไป แต่ปัจจัยหลักคืออยู่ที่ระดับเสียง ถ้าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ทางมัสยิดต้องเบาเสียงลงหน่อยได้หรือไม่ อยากให้ปรับเสียงลง เพราะบางคนทำงานเลิกมาดึกก็นอนไม่ได้เลย กว่าจะนอนตี 2 ตี 3 พอตี 4 เสียงละหมาดเข้ามาแล้ว บางคนนอนไม่ได้ก็ต้องกินยานอนหลับเป็นเวลาต่อเนื่อง 2 ปีแล้ว บางบ้านมีเด็กทำให้เด็กๆ ร้องตอนกลางคืน หรือคนแก่พักผ่อนไม่เพียงพอ
ต่อมาผู้สื่อข่าวสอบถาม นายวันชัย ระดิ่งหิน อิหม่ามประจำมัสยิดนูรุสซาอาดะห์ ต.อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี กล่าวว่า การละหมาดคนละ 5 ครั้ง เป็นภาพบังคับที่มุสลิมทุกคนต้องทำ ส่วนการใช้ลำโพงขยายเสียง เป็นเสียงประกาศที่ออกไปดังรอบด้านทั้งหมด จะใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที แต่เวลาละหมาดจริงๆ จะไม่ได้ใช้เครื่องขยายเสียงภายนอกแล้ว จะใช้เครื่องเสียงภายใน ซึ่งทำไว้หลายระบบของเครื่องขยายเสียง การที่ใช้ลำโพงกระจายเสียงออกไปภายนอก เหมือนเตือนชาวมุสลิมว่าใกล้เวลาจะละหมาดแล้ว ชาวบ้านบางคนก็คอยเวลาแต่งตัวคอย เมื่อได้เวลาทางสุเหร่าก็ประกาศเขาก็จะทำหน้าที่ของตัวเอง บางครั้งการละหมาดมีบังคับให้มาออกเสียงก็มีไม่ออกเสียงก็มี แต่อันนี้ไม่ได้ออกกระจายเสียงไป เป็นการใช้เสียงภายใน ก็ไม่ได้เกี่ยวกันแล้ว
นายวันชัย กล่าวว่า สุเหร่าแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ปี 2505 แต่สมัยก่อนตอนปู่ย่าตายายตั้งอยู่ที่โรงกระโจม ต่อมาผู้ใหญ่และผู้อาวุโสเห็นว่าเดินทางไปมายากลำบาก จึงมาสร้างอยู่ตรงนี้ 60 กว่าปีแล้ว ก็มีการปฏิบัติอย่างนี้มาตลอด เครื่องเสียงก็จะปล่อยแบบนี้มา 50-60 ปี แต่อาจจะมีเสียงดังนิดนึง ค่อยบ้างเป็นปกติ จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ค่อยถูก จะเล่าให้ฟังเมื่อก่อนมีหมู่บ้านอยู่ตรงนี้เขาก็ร้อง ไปถามก็มีคนมุสลิมอยู่กัน ถามเขาก็บอกว่าเสียงไม่ได้ดังก็เลิกกันไป อย่างไรก็ตามทางสุเหร่าจะขอเวลาในการปรับลดเสียงจากลำโพงลง